วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

โตเกียว

โตเกียว (ญี่ปุ่น: 東京都) หรือ กรุงโตเกียว เป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น คนไทยส่วนใหญ่จะเลือกไปเรียนต่อโตเกียวไม่ว่าจะเป็นภาษาญี่ปุ่น และหลักสูตรระดับปริญญา จึงไม่น่าแปลกเลยที่โตเกียวจะกลายเป็น 1 ในเมืองแห่งการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น
ข้อมูลทั่วไป
โตเกียวมีระบบการปกครองแบบพิเศษซึ่งรวมการปกครองในรูปแบบจังหวัดและเมืองไว้ด้วยกัน และเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โตเกียวตั้งอยู่บริเวณภาคคันโตของญี่ปุ่น คำว่า “โตเกียว” หมายถึง “นครหลวงตะวันออก” ในพื้นที่โตเกียวยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังอิมพีเรียล
ภูมิอากาศ มี 4 ฤดู
  • ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) อุณหภูมิเฉลี่ย (ในกรุงโตเกียว) 14.4 องศาเซลเซียส
  • ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) อุณหภูมิเฉลี่ย 25.4 องศาเซลเซียส มีฝนตกชุกช่วงต้นฤดู
  • ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิเฉลี่ย 18.2 องศาเซลเซียส มีพายุไต้ฝุ่นมากในเดือนกันยายน
  • ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อุณหภูมิเฉลี่ย 5.8 องศาเซลเซียส
โตเกียวถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางการบริหาร, การเงิน, การศึกษา และวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น เป็น 1 ในเมืองสำคัญในแง่ของอำนาจและผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลก
ถึงแม้ว่าโตเกียวจะเป็นเมืองสำคัญทางการศึกษา แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับนักเรียนต่างชาตินั่นคือค่าครองชีพที่สูงในแต่ละปี แต่อย่างไรก็ตามนักเรียนต่างชาติส่วนใหญ่ก็ยังนิยมมาเรียนต่อในโตเกียว เนื่องจากมีโรงเรียนสอนภาษา หรือมหาวิทยาลัยตั้งอยู่อย่างมากมาย และเมืองโตเกียวยังเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชาชนอยู่อย่างหลากหลาย ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนต่างชาติเข้าใจวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นได้อย่างหลากหลายอีกด้วย

สถาบันอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงในโตเกียว
- University of Tokyo
- Tokyo Institute of Technology
- Tokyo Metropolitan University
- Tokyo University of Science
สำหรับสถาบันภาษาในโตเกียวนั้นมีมากกว่า 150 โรงเรียน ซึ่งมีทั้งอยู่ในใจกลางโตเกียว และอยู่ภายนอกเมืองโตเกียว ซึ่งการเลือกโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นในโตเกียวนั้น ผู้สนใจควรดูจากจุดประสงค์ในการไปเรียนของตนเอง, ความเหมาะสมของสถานที่ และราคา รวมถึงความต้องการอื่น ๆ ของการไปเรียน

ประโยคที่ใช้บ่อยในร้านอาหารญี่ปุ่น

อยากสั่งเมนูนี้Kore o kudasai. // โคะเระ โอะ คะดะไซこれをください。
ขอ อุนิ ซูชิ ด้วย ค่ะ/ครับUni o nigitte kudasai. // อุนิ โอะ นิกิเตะ คุดะไซうにをにぎってください。
ขอปลาดิบที่ดีที่สุดของวันนี้Sashimi o omakase de onegai shimasu. // ซะชิมิ โอะ โอะมะกะเซะ เดะ โอะเนะไกชิมัส刺身をおまかせでお願いします。
ขอปลาดิบ … (ไม่มีข้าว) 1 ที่… o sashimi ni shite kudasai. // … โอะ ซะชิมิ นิ ชิเตะ คุดะไซ…. を刺身にしてください。
ขอชา หน่อย ค่ะ/ครับAgari o kudasai. // อะกะริ โอะ คุดะไซあがりをください。
ขอสั่งแค่นี้ก่อน ขอบคุณ ค่ะ/ครับMo kekko desu. // โม เคคโคะ เดสもう結構です。
กรุณา คิดเงินด้วยOaiso o onegai shimasu. // โอะไอโซะ โอะ เนไก ชิมัสおあいそをお願いします。








ประเภทของซูชิ



ประเภทของซูชิ

 Nigiri-zushi (นิกิริ ซูชิ) เป็นข้าวปั้นที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด ซึ่งประกอบด้วยปลา อาหารทะเล ผัก หรือแม้แต่เนื้อสัต  ว์ต่างๆ วางบนชิ้นข้าวปั้นข้าวเท่านิ้วมือเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า มักจะใส่วาซาบิเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ หากใช้ปลาวางบนหน้าข้าวปั้นมักจะใช้ปลาดิบ และหากเป็นอาหารจำพวกหอยอาจจะปรุงสุก

ถ้าใช้ไข่ปลาชนิดต่างๆวางบนหน้าข้าวปั้น จะใช้แผ่นสาหร่ายแห้ง (โนริสาหร่าย) ห่อตัวข้าวปั้นไว้อีกทีเพื่อไม่ให้ไข่ปลา  หกออกมา เมนูนี้มีชื่อว่า gunkan-maki แปลว่า ห่อเรือรบ  Nigiri-zushi เป็นเมนูท่องถิ่นของโตเกียว ซึ่งจะรู้จักในชื่อ Edomae-zushi คำว่า “Edo” เป็นชื่อที่ใช้เรียกเมือง ซึ่งหลังจากปี 1868 ได้เปลี่ยนเป็นชื่อโตเกียวในปัจจุบัน


Maki-zushi (มาคิ ซูชิ) มีขั้นตอนการทำด้วยการใช้แผ่นเสื่อไม่ไผ่ผืนเล็กๆช่วยในการบีบข้าวปั้นให้เกาะตัว มีไส้ตรงการเป็น ปลาทูน่า แตงกวา หรือส่วนผสมอื่นๆ และห่อตัวข้าวปั้นด้วยแผ่นสาหร่าย หลังจากนั้นหั่นเป็นเเว่นๆพอดีคำ

Futo-maki (ฟูโตะ มาคิ) ขั้นตอนการทำเหมือน มากิ ซูชิ เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าและมีการใส่ไส้ที่หลากหลาย เช่นไข่ และผักดอง เป็นต้น

Temaki (เทมาคิ) มีความคล้ายคลึงกับ มาคิ ซูชิ แต่ว่าทำด้วยมือ เป็นรูปกรวย (คนไทยรู้จักในชื่อ แคลิฟอเนีย มาคิ) วิธีกินคือใช้มือหยิบกินได้เลย โดยกินคู่กับซอสถั่วเหลือง

Sashimi (ซาชิมิ) ปลาดิบแล่เป็นแผ่นบางๆ เสริฟเป็นเครื่องเคียงรับประทานกับเครื่องดื่ม
 Chirashi (ชิราชิ) ข้าวหน้าปลาดิบในถ้วยยักษ์ตกแต่งด้วยผักเพื่อความสวยงาม มักจะรวมอยู่ในเซ็ทเมนู ซึ่งราคานั้นกำหนดตามขนาด และประเภทของเครื่องปรุง

 Oshi-zushi (โอชิ ซูชิ) อาหารพื้นเมืองของจังหวัดโอซากา มีวิธีการทำคือ นำแผ่นปลาที่แล่แล้วมาวางซ้อนๆกันบนข้าวที่อัดอยู่ให้บล็อกไม้ไผ่สีเหลี่ยมผืนผ้า หลังจากนั้นนำออกมาจากบล็อกไม้ไผ่ และหั่นเป็นชิ่นเล็กพอดีคำ


ซูชิทั้งสามแบบเเรกนั้นสามารถสั่งแยกเป็นชิ้นๆ หรือสั่งรวมในเมนูเซ็ทก็ได้ ส่วน Sashimi และ chirashi-zushi มักจะทำสดๆไม่ได้ทำเตรียมไว้ขาย Oshi-zushi เป็นเมนูที่พบมากในแถบคันไซ (โอซากา และ เกียวโต)

การศึกษาในประเทศญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมาตรฐานทางด้านการศึกษาในระดับสูง โดยระบบการศึกษาของประเทศได้รับต้นแบบมาจากระบบการศึกษาของหลาย ๆประเทศ อาทิเช่น ประเทศอังกฤษ, ฝรั่งเศส และอเมริกา โดยจะแบ่งระดับการศึกษาเป็น
- ระดับอนุบาล (Kindergarten / Yochien)- อายุต่ำกว่า 6 ปี
ถึงแม้ว่าการศึกษาในระดับอนุบาลจะไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ แต่การศึกษาในระดับนี้กลับมีจำนวนผู้เข้าเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นทำให้รัฐบาลตั้งเป้าหมายในการเพิ่มศักยภาพของการศึกษาระดับนี้มากขึ้น

- ระดับประถม (Elementary School / shogakkou)- 6-12 ปี
เริ่มตั้งแต่ผู้เรียนอายุ 6 ปี – 12 ปี ซึ่งการศึกษาในระดับนี้เป็นการศึกษาภาคบังคับสำหรับชาวญี่ปุ่น โดยโรงเรียนรัฐบาลจะมีการกำหนดยูนิฟอร์มให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และโรงเรียนส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนของรัฐ มีเพียงแค่ร้อยละ 5 เท่านั้นที่เป็นโรงเรียนเอกชน

- ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Lower Secondary School / chugakkou)- 12-15 ปี
เป็นระดับการศึกษาที่สำคัญต่อเด็กนักเรียน เพื่อเตรียมเข้าสู่การเรียนในระดับมัธยมปลาย เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ในชมรม, กิจกรรม และการเรียนของโรงเรียนเป็นหลัก

- ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Upper Secondary School / koutougakkou)- 15-18 ปี
การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นภาคการศึกษาไม่บังคับใน
ประเทศญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตามร้อยละ 94 ของผู้เรียนที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจะเข้าเรียนต่อ   โดยการเรียนในระดับนี้นั้นจะต้องมีการสอบเข้า เช่นเดียวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศต่าง ๆ และนักเรียนที่จบจากโรงเรียนบางโรงเรียนจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยระดับประเทศได้โดยตรง อาทิเช่น University of Tokyo แต่สำหรับนักเรียนที่ไม่อยากเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็จะเข้าวิทยาลัยเทคนิคเช่นเดียวกับระบบการศึกษาในประเทศไทย
- ระดับมหาวิทยาลัย (University)- 18-20 หรือ 22 ปี
มหาวิทยาลัยใน
ประเทศญี่ปุ่นจะกำหนดหลักสูตรและระยะเวลา ดังนี้ ระดับปริญญาตรีจะใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ปี, ระดับปริญญาโท 2 ปี และระดับปริญญาเอก 3 ปี
การเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจะเริ่มภาคการศึกษาในเดือนเมษายนของแต่ละปี โดยจะแบ่งภาคการศึกษาเป็น ภาคการศึกษาที่ 1 (เดือนเมษายน-เดือนกันยายน) และภาคการศึกษาที่ 2 (เดือนกันยายน-เดือนมีนาคม) โดยระยะเวลาการรับสมัครโดยทั่วไปจะสิ้นสุดในเดือนกันยายนหรือเดือนตุลาคมสำหรับการสมัครเรียนในเดือนเมษายนของปีถัดไป

น้ำสลัดสไตล์ญี่ปุ่น

น้ำสลัดสไตล์ญี่ปุ่น ส่วนผสมสำหรับ 14 ที่เสริฟ •หอมสับ 1/2 ถ้วยตวง •น้ำมันถั่วลิสง 1/3 ถ้วยตวง •น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว 1/3 ถ้วยตวง •น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ •ขิงสดสับ 2 ช้อนโต๊ะ •ผักชีสับ 2 ช้อนโต๊ะ •ซอสมะเชือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ •ซอสถั่วเหลือง 4 ช้อนชา •น้ำตาลทรายขาว 2 ช้อนชา •น้ำมะนาว 2 ช้อนชา •กระเทียมสับ 1/2 ช้อนชา •เกลือ 1/2 ช้อนชา •พริกไทยดำบด 1/4 ช้อนชา วิธีทำ นำส่วนผสมทุกอย่างตามข้างต้นใส่เครื่องปั่น จากนั้นปั่นจนกระทั่งส่วนผสมเข้ากันดี ก็จะได้น้ำสลัดสไตล์ญี่ปุ่น

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

อาหารญี่ปุ่น

ข้อดีของการทำอาหารญี่ปุ่นนั่นคือ เตรียมวัตถุดิบได้อย่างง่ายและรวดเร็ว อาหารญี่ปุ่นมีลักษณะแตกต่างจากอาหารจีนและอาหารเกาหลีหลายอย่างอาทิเช่น
1. อาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไม่ใช้น้ำมัน
2. อาหารญี่ปุ่นไม่นิยมใช้เครื่องเทศ
3. ส่วนประกอบหลักของอาหารคือปลาและผัก



ส่วนประกอบพื้นฐานของอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่

Dashi” เป็นซุปส่วนประกอบหลักในการทำอาหารญี่ปุ่น และเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อกลิ่นของอาหาร “Dashi” จะทำมาจาก “Konbu” และ “Katsuobushi” ต้มในน้ำเดือด
Shoyu” เป็นเครื่องปรุงสำคัญของการทำอาหารญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นของเหลวสีน้ำตาลเข้ม รสชาติเค็ม ทำมาจากการหมักถั่วเหลืองต้ม จากนั้นเติมเกลือและน้ำ แล้วกรองเอาเฉพาะน้ำ
Miso” ยังเป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักที่สำคัญสำหรับอาหารญี่ปุ่น โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ “Shiro-Miso” ทำมาจากข้าวหรือแป้งผสมกับถั่วเหลือง จะมีสีน้ำตาลอ่อน และ “Aka-Miso” จะทำมาจากถั่วเหลืองเท่านั้น มีสีน้ำตาลเข้ม
Mirin” เป็นของเหลวสีเหลือง มีรสชาติหวาน ใช้สำหรับการย่างปลาหรือเนื้อ เพื่อขจัดกลิ่น



เมนูอาหารที่คนไทยรู้จักกันอย่างดี

1. ซูชิ ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ทางด้านอาหารญี่ปุ่นอย่างหนึ่ง และด้วยความหลากหลายของหน้าซูชิ ทั้งปลามากุโร่, ไข่ปลาแซลมอล, ปลาโทโร่ และอื่น ๆ



2. ราเมน ที่นิยมกันอย่างมาก ๆ อาทิเช่น มิโสะราเมน, โชยุราเมน, ชิโอะราเมน เป็นต้น
3. หม้อไฟ หรือนาเบะ ซึ่งรู้จักกันดีสำหรับอาหารที่เป็นที่นิยมในช่วงฤดูหนาว
4. สุกี้ยากี้ หนึ่งในอาหารที่เป็นที่นิยมในช่วงฤดูหนาว มักจะใช้เนื้อเป็นส่วนประกอบหลัก
5. ข้าวราดแกงกระหรี่ ถึงแม้ว่าแกงกระหรี่จะไม่ใช่อาหารดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น แต่เมื่อถูกพัฒนาในสไตล์ของญี่ปุ่นแล้ว ก็เป็นที่ชื่นชอบเป็นอย่างมาก
6. ดงบุริ (Donburi) ข้าวหน้าต่าง ๆ ของญี่ปุ่น เป็นอาหารจานด่วนที่มีหลากหลายหน้าด้วยกันทั้ง ข้าวหน้าหมูทอด, ข้าวหน้าไก่และไข่ เป็นต้น
7. ยากิโทริ (Yakitori) ไก่ย่างสไตล์ญี่ปุ่น โดยจะเสียบไก่และผักชิ้นเล็กบนไม้เสียบแล้วย่างด้วยซอสพิเศษ
8. โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki) พิซซ่าญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอาหารในแถบคันไซและฮิโรชิม่า
สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น

1. พระราชวังอิมพีเรียล





           พระราชวังอิมพีเรียล แต่เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ อีกหนึ่งสถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว เพราะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น เดิมที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงเล็กที่ชื่อ เอะโดะ ที่ถูกตั้งเป็นฐานที่มั่น รวมทั้งถูกตั้งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหาร ต่อมาได้ขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น จนมีประชากรและพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากนั้นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ การล้มล้างการปกครองแบบโชกุนลง จักรพรรดิเมจิจึงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียวในปัจจุบัน ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และถูกเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกว่า พระราชวังอิมพิเรียล ในปัจจุบัน

           ซึ่งภายในล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าที่งดงาม และป้อมปราการเก่าแก่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ ทางเข้าหลักอยู่ใกล้กับนิจูบะชิ สะพานสองชั้น และจะเปิดให้คนภายนอกเข้าชมตามวาระพิเศษต่าง ๆ สวนตะวันออกฮิงะชิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอคอยใหญ่ ภายในสวนงดงามไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ และจะผลิบานตามแต่ฤดูกาล เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการสถานที่พักผ่อนในอุดมคติ




2. โตเกียว ทาวเวอร์





           โตเกียว ทาวเวอร์ หอคอยสื่อสารขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะใน 1 ปี มีผู้ร่วมเข้าชมถึง 2 ล้าน 5 คน อีกทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก เป็นที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยสูงในปารีส สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมโบราณแบบญี่ปุ่น ทั้งนี้ โตเกียว ทาวเวอร์ จะเปิดทำการตั้งแต่ 09.00-20.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นเลย




 3.หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะ





            ชิราคาวาโกะ (Shirakawako) หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น หลังคามุงด้วยฟางข้าว สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่า การสร้างบ้านแบบ กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี คำว่า "กัสโช" หมายความว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงแบบลาดลงคล้ายหน้าจั่ว เพื่อให้ทนทานต่อหิมะและลมในฤดูหนาว ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู ซึ่งบางแห่งสามารถเข้าพักค้างคืนได้ แถมยังเป็นกิจการที่เปิดภายในครัวเรือนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นการใช้ชีวิตแบบดั่งเดิมของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง




4. ภูเขาฟูจิ





              ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นและอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko) หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งใน อุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu
               นอกจากนี้ รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็น อุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจิโกะ ไซโกะ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ นับได้ว่า ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฏอยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นหรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้


             

5. ช้อปปิ้งย่านสุดฮิตที่ย่านชินจูกุ ฮาราจูกุ โอไดบะ





               เมื่อมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การช้อปปิ้ง ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีแหล่งช้อปที่หลายหลาย แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) แหล่งท่องเที่ยวทันสมัยฝั่งตะวันตกของโตเกียว นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิงยามค่ำคืนยอดนิยมที่มีชื่อเสียง โดยยามกลางวันสามารถแวะชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอ็นที่เงียบสงบ, ย่านชิบุยะ (Shibuya) เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของวัยรุ่น ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ ที่เงียบสงบ ติดต่อกันเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและสวรรค์ของคนรุ่นใหม่ คือ ย่านฮาราจูกุ และ ย่านโอไดบะ ที่สร้างขึ้นจากการถมทะเลในอ่าวโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพราะที่นี่มีทั้งแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่ ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์ ทาวน์ ที่เหล่าคู่รักวัยรุ่นนิยมขึ้นชิงช้าชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม




6. โอซาก้า




                เมืองโอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของญี่ปุ่น และเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสำหรับญี่ปุ่นตะวันตก ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโยโดะ มีคลองที่เชื่อมโยงกันไปมาภายใต้ถนนหลายเส้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่เมือง และในฐานะที่เป็นเมืองดั้งเดิมจึงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นต้นแบบของ ละครหุ่นกระบอกบุนระคุ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ควรพลาดชม อ่าวโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความทันสมัยที่สุด และสวนสนุก Universal Studios Japan

               แต่ที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่ง คือ ปราสาทโอซาก้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1586 โดย โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ปัจจุบันเป็นป้อมปราการสูงห้าชั้น จำลองแบบจากของเดิม เก็บรักษาศิลปวัตถุโบราณหลายชิ้น ทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโทโยโทมิและโอซาก้าในอดีต สำหรับแหล่งบันเทิงและย่านช้อปปิ้งที่จะต้องแวะ คือ ย่านอุเมะดะ และ ย่านนัมบะ ที่มีสถานีรถไฟและศูนย์การค้าใต้ดินที่ทันสมัยอยู่จำนวนมาก สำหรับนักจับจ่ายซื้อของและนักชิมอาหาร "คุอุดะโอะเระ" ถนนนักชิมที่มีชื่อเสียงสมคำเล่าลือ ที่ว่าโอซาก้าเป็นเมืองสำหรับนักชิมอย่างแท้จริง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เช่น ยากินิกุ, ซูชิ และทาโกะยากิ




7. ปราสาทฮิเมะจิ





               ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด

               ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น

               อีกทั้งรอบ ๆ ปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท และลักษณะที่เด่นชัดของปราสาทนี้ คือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงได้โดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบ ๆ อาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย และจนทุกวันนี้ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีเลย ระบบการป้องกันต่าง ๆ จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน




 8. วัดโทไดจิ





               วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดพุทธที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารา ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าและสถานที่สำคัญของเมืองนาราอีก 7 แห่ง ภายในวัดมี หอไดบุทสึ (Daibutsuden) หรือวิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึหล่อสำริดขนาดใหญ่ สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764)




 9. ฮอกไกโด





               ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ถือเป็นสวรรค์ของธรรมชาติ สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย ทั้งภูเขา ที่ราบสูง แม่น้ำ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน และชายฝั่งทะเล มีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว มีหิมะที่ขาวละเอียดดุจแป้งฝุ่นและสกีรีสอร์ท ที่ดึงดูดนักเล่นสกีจากทั่วโลก ขณะที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระจะบานช้ากว่าภูมิภาคอื่นในญี่ปุ่น สามารถชมซากุระได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนส่วนอื่น ๆ เพราะมีทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนที่อื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม

               โดยมี เมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็นเมืองหลวงของฮอกไกโด ซึ่งในซัปโปโรมี สวนสาธารณะโอโดริ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาชมงานในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีหอนาฬิกาอันเก่าแก่ และที่ว่าการเมืองฮอกไกโด อีกทั้งย่านร้านค้าซุซุกิโนะ ซึ่งเป็นศูนย์การค้า และแหล่งจับจ่ายซื้อของที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้

               เมืองฮะโกะดะเตะ (Hakodate) เป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของฮอกไกโด ในยามเช้าสามารถเที่ยวตลาดสดขายอาหารทะเลสด ๆ ที่มีให้ชิม ยามสายเที่ยวชมโบสถ์ และป้อมปราการโบราณในเมือง ยามเย็นนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนเขาฮะโกะดะเตะ ชมทิวทัศน์ยามราตรีที่สวยงามได้รอบทิศ ด้านเมืองอะซะฮิกะวะ (Asahikawa) ตั้งอยู่ใจกลางเกาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซัปโปโร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยรถไฟด่วนจากเมืองซัปโปโร และจากเมืองอะซะฮิกะวะไปทางตะวันออกจะมี อุทยานแห่งชาติไดเซะทสุซัง ซึ่งมี บ่อน้ำแร่โซอุนเกียว ให้เพลิดเพลินในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี

               นอกจากนี้ ฮอกไกโดยังมีธรรมชาติอันสวยงามที่เป็นชายฝั่งทะเลใกล้ เมืองอะบะชิริ (Abashiri) มีธารน้ำแข็งให้ชมในฤดูหนาว และ คาบสมุทรชิเระโตะโกะ (Shiretoko) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย อีกทั้งทะเลสาบอะคัง ทะเลสาบมาชูและ ทะเลสาบคุชิโระ และทางตะวันตกของฮอกไกโดมี เมืองโอะตะรุ (Otaru) เป็นเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองค้าขาย ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 รอบ ๆ เมืองจะมีคลองโอะตะรุ เป็นโบราณสถาน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยบุกเบิก มีถนนร้านซูชิที่สดที่สุดในโลกให้ลองลิ้มชิมรส




 10. ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ณ ฟุระโนะ





               เมืองฟุระโนะ
ตั้งอยู่ใจกลางฮอกไกโดพอดี เป็นที่รู้จักกันในนามทุ่งดอกไม้ที่มีภูเขาล้อมรอบไว้ ทำให้ที่นี่มีความแตกต่างของอากาศในช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนราว 30 องศา และที่สำคัญที่นี่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว ในหน้าร้อนจะมีสวนดอกไม้ที่สวยงาม โดยเฉพาะที่ ฟาร์มโทมิตะ ซึ่งมีการปลูกลาเวนเดอร์ที่ทั้งสวยงามและกว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งดอกไม้อื่น ๆ โดยที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมากในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนกระทั่งกลางเดือนกันยายน ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะหนามาก ทำให้กลายเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียง และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับลานสกีในช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคมของทุกปี
Tokyo Fasion ( Image )