<?php
$sql ="select * from student order by id asc "; // กำหนดตัวแปร$sql ให้เลือกทั้งหมดของตาราง และเรียงจากน้อยไปมาก
$query=mysql_query($sql) or die(mysql_error()); //กำหนดตัวแปร$queryให้ประมวลตัวแปร$queryและตรวจว่าถูกหรือไม่
$num=mysql_num_rows($query); //กำหนดตัวแปร $numโดยมาจากการนับจำนวนrecordของตัวแปร$query
echo $num;//แสดงผลตัวแปร num
?>
วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556
วันอังคารที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
Code
<body>
<?php
$score=77;
if($score < 50){
echo 'grade 0';
}else if ($score < 56){
echo 'grade 1';
}else if ($score < 60){
echo 'grade 1.5';
}else if ($score < 65){
echo 'grade 2';
}else if ($score < 70){
echo 'grade 2.5';
}else if ($score < 75){
echo 'grade 3';
}else if ($score < 80){
echo 'grade 3.5';
}else{echo 'grade 4';}
?>
</body>
</html>
<?php
$score=77;
if($score < 50){
echo 'grade 0';
}else if ($score < 56){
echo 'grade 1';
}else if ($score < 60){
echo 'grade 1.5';
}else if ($score < 65){
echo 'grade 2';
}else if ($score < 70){
echo 'grade 2.5';
}else if ($score < 75){
echo 'grade 3';
}else if ($score < 80){
echo 'grade 3.5';
}else{echo 'grade 4';}
?>
</body>
</html>
วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556
โตเกียว
โตเกียว (ญี่ปุ่น: 東京都) หรือ กรุงโตเกียว เป็นเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น คนไทยส่วนใหญ่จะเลือกไปเรียนต่อโตเกียวไม่ว่าจะเป็นภาษาญี่ปุ่น และหลักสูตรระดับปริญญา จึงไม่น่าแปลกเลยที่โตเกียวจะกลายเป็น 1 ในเมืองแห่งการศึกษาของประเทศญี่ปุ่น
ข้อมูลทั่วไป
โตเกียวมีระบบการปกครองแบบพิเศษซึ่งรวมการปกครองในรูปแบบจังหวัดและเมืองไว้ด้วยกัน และเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โตเกียวตั้งอยู่บริเวณภาคคันโตของญี่ปุ่น คำว่า “โตเกียว” หมายถึง “นครหลวงตะวันออก” ในพื้นที่โตเกียวยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังอิมพีเรียล
ภูมิอากาศ มี 4 ฤดู
- ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม) อุณหภูมิเฉลี่ย (ในกรุงโตเกียว) 14.4 องศาเซลเซียส
- ฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม) อุณหภูมิเฉลี่ย 25.4 องศาเซลเซียส มีฝนตกชุกช่วงต้นฤดู
- ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน) อุณหภูมิเฉลี่ย 18.2 องศาเซลเซียส มีพายุไต้ฝุ่นมากในเดือนกันยายน
- ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์) อุณหภูมิเฉลี่ย 5.8 องศาเซลเซียส
โตเกียวถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางทางการบริหาร, การเงิน, การศึกษา และวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่น เป็น 1 ในเมืองสำคัญในแง่ของอำนาจและผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลก
ถึงแม้ว่าโตเกียวจะเป็นเมืองสำคัญทางการศึกษา แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับนักเรียนต่างชาตินั่นคือค่าครองชีพที่สูงในแต่ละปี แต่อย่างไรก็ตามนักเรียนต่างชาติส่วนใหญ่ก็ยังนิยมมาเรียนต่อในโตเกียว เนื่องจากมีโรงเรียนสอนภาษา หรือมหาวิทยาลัยตั้งอยู่อย่างมากมาย และเมืองโตเกียวยังเป็นเมืองใหญ่ที่มีประชาชนอยู่อย่างหลากหลาย ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนต่างชาติเข้าใจวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของคนญี่ปุ่นได้อย่างหลากหลายอีกด้วย
สถาบันอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงในโตเกียว
- University of Tokyo
- Tokyo Institute of Technology
- Tokyo Metropolitan University
- Tokyo University of Science
สำหรับสถาบันภาษาในโตเกียวนั้นมีมากกว่า 150 โรงเรียน ซึ่งมีทั้งอยู่ในใจกลางโตเกียว และอยู่ภายนอกเมืองโตเกียว ซึ่งการเลือกโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นในโตเกียวนั้น ผู้สนใจควรดูจากจุดประสงค์ในการไปเรียนของตนเอง, ความเหมาะสมของสถานที่ และราคา รวมถึงความต้องการอื่น ๆ ของการไปเรียน
ประโยคที่ใช้บ่อยในร้านอาหารญี่ปุ่น
| อยากสั่งเมนูนี้ | Kore o kudasai. // โคะเระ โอะ คะดะไซ | これをください。 |
| ขอ อุนิ ซูชิ ด้วย ค่ะ/ครับ | Uni o nigitte kudasai. // อุนิ โอะ นิกิเตะ คุดะไซ | うにをにぎってください。 |
| ขอปลาดิบที่ดีที่สุดของวันนี้ | Sashimi o omakase de onegai shimasu. // ซะชิมิ โอะ โอะมะกะเซะ เดะ โอะเนะไกชิมัส | 刺身をおまかせでお願いします。 |
| ขอปลาดิบ … (ไม่มีข้าว) 1 ที่ | … o sashimi ni shite kudasai. // … โอะ ซะชิมิ นิ ชิเตะ คุดะไซ | …. を刺身にしてください。 |
| ขอชา หน่อย ค่ะ/ครับ | Agari o kudasai. // อะกะริ โอะ คุดะไซ | あがりをください。 |
| ขอสั่งแค่นี้ก่อน ขอบคุณ ค่ะ/ครับ | Mo kekko desu. // โม เคคโคะ เดส | もう結構です。 |
| กรุณา คิดเงินด้วย | Oaiso o onegai shimasu. // โอะไอโซะ โอะ เนไก ชิมัส | おあいそをお願いします。 |
ประเภทของซูชิ
ประเภทของซูชิ
ถ้าใช้ไข่ปลาชนิดต่างๆวางบนหน้าข้าวปั้น จะใช้แผ่นสาหร่ายแห้ง (โนริสาหร่าย) ห่อตัวข้าวปั้นไว้อีกทีเพื่อไม่ให้ไข่ปลา หกออกมา เมนูนี้มีชื่อว่า gunkan-maki แปลว่า ห่อเรือรบ Nigiri-zushi เป็นเมนูท่องถิ่นของโตเกียว ซึ่งจะรู้จักในชื่อ Edomae-zushi คำว่า “Edo” เป็นชื่อที่ใช้เรียกเมือง ซึ่งหลังจากปี 1868 ได้เปลี่ยนเป็นชื่อโตเกียวในปัจจุบัน
Maki-zushi (มาคิ ซูชิ) มีขั้นตอนการทำด้วยการใช้แผ่นเสื่อไม่ไผ่ผืนเล็กๆช่วยในการบีบข้าวปั้นให้เกาะตัว มีไส้ตรงการเป็น ปลาทูน่า แตงกวา หรือส่วนผสมอื่นๆ และห่อตัวข้าวปั้นด้วยแผ่นสาหร่าย หลังจากนั้นหั่นเป็นเเว่นๆพอดีคำ
Futo-maki (ฟูโตะ มาคิ) ขั้นตอนการทำเหมือน มากิ ซูชิ เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่าและมีการใส่ไส้ที่หลากหลาย เช่นไข่ และผักดอง เป็นต้น
Sashimi (ซาชิมิ) ปลาดิบแล่เป็นแผ่นบางๆ เสริฟเป็นเครื่องเคียงรับประทานกับเครื่องดื่ม
Chirashi (ชิราชิ) ข้าวหน้าปลาดิบในถ้วยยักษ์ตกแต่งด้วยผักเพื่อความสวยงาม มักจะรวมอยู่ในเซ็ทเมนู ซึ่งราคานั้นกำหนดตามขนาด และประเภทของเครื่องปรุง
ซูชิทั้งสามแบบเเรกนั้นสามารถสั่งแยกเป็นชิ้นๆ หรือสั่งรวมในเมนูเซ็ทก็ได้ ส่วน Sashimi และ chirashi-zushi มักจะทำสดๆไม่ได้ทำเตรียมไว้ขาย Oshi-zushi เป็นเมนูที่พบมากในแถบคันไซ (โอซากา และ เกียวโต)
การศึกษาในประเทศญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีมาตรฐานทางด้านการศึกษาในระดับสูง โดยระบบการศึกษาของประเทศได้รับต้นแบบมาจากระบบการศึกษาของหลาย ๆประเทศ อาทิเช่น ประเทศอังกฤษ, ฝรั่งเศส และอเมริกา โดยจะแบ่งระดับการศึกษาเป็น
- ระดับอนุบาล (Kindergarten / Yochien)- อายุต่ำกว่า 6 ปี
ถึงแม้ว่าการศึกษาในระดับอนุบาลจะไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ แต่การศึกษาในระดับนี้กลับมีจำนวนผู้เข้าเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นทำให้รัฐบาลตั้งเป้าหมายในการเพิ่มศักยภาพของการศึกษาระดับนี้มากขึ้น
- ระดับประถม (Elementary School / shogakkou)- 6-12 ปี
เริ่มตั้งแต่ผู้เรียนอายุ 6 ปี – 12 ปี ซึ่งการศึกษาในระดับนี้เป็นการศึกษาภาคบังคับสำหรับชาวญี่ปุ่น โดยโรงเรียนรัฐบาลจะมีการกำหนดยูนิฟอร์มให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และโรงเรียนส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนของรัฐ มีเพียงแค่ร้อยละ 5 เท่านั้นที่เป็นโรงเรียนเอกชน
- ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Lower Secondary School / chugakkou)- 12-15 ปี
เป็นระดับการศึกษาที่สำคัญต่อเด็กนักเรียน เพื่อเตรียมเข้าสู่การเรียนในระดับมัธยมปลาย เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ในชมรม, กิจกรรม และการเรียนของโรงเรียนเป็นหลัก
- ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Upper Secondary School / koutougakkou)- 15-18 ปี
การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นภาคการศึกษาไม่บังคับในประเทศญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตามร้อยละ 94 ของผู้เรียนที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจะเข้าเรียนต่อ โดยการเรียนในระดับนี้นั้นจะต้องมีการสอบเข้า เช่นเดียวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศต่าง ๆ และนักเรียนที่จบจากโรงเรียนบางโรงเรียนจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยระดับประเทศได้โดยตรง อาทิเช่น University of Tokyo แต่สำหรับนักเรียนที่ไม่อยากเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็จะเข้าวิทยาลัยเทคนิคเช่นเดียวกับระบบการศึกษาในประเทศไทย
- ระดับมหาวิทยาลัย (University)- 18-20 หรือ 22 ปี
มหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นจะกำหนดหลักสูตรและระยะเวลา ดังนี้ ระดับปริญญาตรีจะใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ปี, ระดับปริญญาโท 2 ปี และระดับปริญญาเอก 3 ปี
การเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจะเริ่มภาคการศึกษาในเดือนเมษายนของแต่ละปี โดยจะแบ่งภาคการศึกษาเป็น ภาคการศึกษาที่ 1 (เดือนเมษายน-เดือนกันยายน) และภาคการศึกษาที่ 2 (เดือนกันยายน-เดือนมีนาคม) โดยระยะเวลาการรับสมัครโดยทั่วไปจะสิ้นสุดในเดือนกันยายนหรือเดือนตุลาคมสำหรับการสมัครเรียนในเดือนเมษายนของปีถัดไป
- ระดับอนุบาล (Kindergarten / Yochien)- อายุต่ำกว่า 6 ปี
ถึงแม้ว่าการศึกษาในระดับอนุบาลจะไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ แต่การศึกษาในระดับนี้กลับมีจำนวนผู้เข้าเรียนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นทำให้รัฐบาลตั้งเป้าหมายในการเพิ่มศักยภาพของการศึกษาระดับนี้มากขึ้น
- ระดับประถม (Elementary School / shogakkou)- 6-12 ปี
เริ่มตั้งแต่ผู้เรียนอายุ 6 ปี – 12 ปี ซึ่งการศึกษาในระดับนี้เป็นการศึกษาภาคบังคับสำหรับชาวญี่ปุ่น โดยโรงเรียนรัฐบาลจะมีการกำหนดยูนิฟอร์มให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และโรงเรียนส่วนใหญ่จะเป็นโรงเรียนของรัฐ มีเพียงแค่ร้อยละ 5 เท่านั้นที่เป็นโรงเรียนเอกชน
- ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Lower Secondary School / chugakkou)- 12-15 ปี
เป็นระดับการศึกษาที่สำคัญต่อเด็กนักเรียน เพื่อเตรียมเข้าสู่การเรียนในระดับมัธยมปลาย เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ในชมรม, กิจกรรม และการเรียนของโรงเรียนเป็นหลัก
- ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Upper Secondary School / koutougakkou)- 15-18 ปี
การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายเป็นภาคการศึกษาไม่บังคับในประเทศญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตามร้อยละ 94 ของผู้เรียนที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นจะเข้าเรียนต่อ โดยการเรียนในระดับนี้นั้นจะต้องมีการสอบเข้า เช่นเดียวกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศต่าง ๆ และนักเรียนที่จบจากโรงเรียนบางโรงเรียนจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยระดับประเทศได้โดยตรง อาทิเช่น University of Tokyo แต่สำหรับนักเรียนที่ไม่อยากเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็จะเข้าวิทยาลัยเทคนิคเช่นเดียวกับระบบการศึกษาในประเทศไทย
- ระดับมหาวิทยาลัย (University)- 18-20 หรือ 22 ปี
มหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่นจะกำหนดหลักสูตรและระยะเวลา ดังนี้ ระดับปริญญาตรีจะใช้เวลาทั้งสิ้น 4 ปี, ระดับปริญญาโท 2 ปี และระดับปริญญาเอก 3 ปี
การเรียนในระดับมหาวิทยาลัยจะเริ่มภาคการศึกษาในเดือนเมษายนของแต่ละปี โดยจะแบ่งภาคการศึกษาเป็น ภาคการศึกษาที่ 1 (เดือนเมษายน-เดือนกันยายน) และภาคการศึกษาที่ 2 (เดือนกันยายน-เดือนมีนาคม) โดยระยะเวลาการรับสมัครโดยทั่วไปจะสิ้นสุดในเดือนกันยายนหรือเดือนตุลาคมสำหรับการสมัครเรียนในเดือนเมษายนของปีถัดไป
น้ำสลัดสไตล์ญี่ปุ่น
น้ำสลัดสไตล์ญี่ปุ่น ส่วนผสมสำหรับ 14 ที่เสริฟ •หอมสับ 1/2 ถ้วยตวง •น้ำมันถั่วลิสง 1/3 ถ้วยตวง •น้ำส้มสายชูหมักจากข้าว 1/3 ถ้วยตวง •น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ •ขิงสดสับ 2 ช้อนโต๊ะ •ผักชีสับ 2 ช้อนโต๊ะ •ซอสมะเชือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ •ซอสถั่วเหลือง 4 ช้อนชา •น้ำตาลทรายขาว 2 ช้อนชา •น้ำมะนาว 2 ช้อนชา •กระเทียมสับ 1/2 ช้อนชา •เกลือ 1/2 ช้อนชา •พริกไทยดำบด 1/4 ช้อนชา วิธีทำ นำส่วนผสมทุกอย่างตามข้างต้นใส่เครื่องปั่น จากนั้นปั่นจนกระทั่งส่วนผสมเข้ากันดี ก็จะได้น้ำสลัดสไตล์ญี่ปุ่น
วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556
อาหารญี่ปุ่น
1. อาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะไม่ใช้น้ำมัน
2. อาหารญี่ปุ่นไม่นิยมใช้เครื่องเทศ
3. ส่วนประกอบหลักของอาหารคือปลาและผัก
ส่วนประกอบพื้นฐานของอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่
“Dashi” เป็นซุปส่วนประกอบหลักในการทำอาหารญี่ปุ่น และเป็นส่วนสำคัญที่มีผลต่อกลิ่นของอาหาร “Dashi” จะทำมาจาก “Konbu” และ “Katsuobushi” ต้มในน้ำเดือด
“Shoyu” เป็นเครื่องปรุงสำคัญของการทำอาหารญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นของเหลวสีน้ำตาลเข้ม รสชาติเค็ม ทำมาจากการหมักถั่วเหลืองต้ม จากนั้นเติมเกลือและน้ำ แล้วกรองเอาเฉพาะน้ำ
“Miso” ยังเป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักที่สำคัญสำหรับอาหารญี่ปุ่น โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ “Shiro-Miso” ทำมาจากข้าวหรือแป้งผสมกับถั่วเหลือง จะมีสีน้ำตาลอ่อน และ “Aka-Miso” จะทำมาจากถั่วเหลืองเท่านั้น มีสีน้ำตาลเข้ม
“Mirin” เป็นของเหลวสีเหลือง มีรสชาติหวาน ใช้สำหรับการย่างปลาหรือเนื้อ เพื่อขจัดกลิ่น
เมนูอาหารที่คนไทยรู้จักกันอย่างดี
1. ซูชิ ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ทางด้านอาหารญี่ปุ่นอย่างหนึ่ง และด้วยความหลากหลายของหน้าซูชิ ทั้งปลามากุโร่, ไข่ปลาแซลมอล, ปลาโทโร่ และอื่น ๆ
2. ราเมน ที่นิยมกันอย่างมาก ๆ อาทิเช่น มิโสะราเมน, โชยุราเมน, ชิโอะราเมน เป็นต้น
3. หม้อไฟ หรือนาเบะ ซึ่งรู้จักกันดีสำหรับอาหารที่เป็นที่นิยมในช่วงฤดูหนาว
4. สุกี้ยากี้ หนึ่งในอาหารที่เป็นที่นิยมในช่วงฤดูหนาว มักจะใช้เนื้อเป็นส่วนประกอบหลัก
5. ข้าวราดแกงกระหรี่ ถึงแม้ว่าแกงกระหรี่จะไม่ใช่อาหารดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น แต่เมื่อถูกพัฒนาในสไตล์ของญี่ปุ่นแล้ว ก็เป็นที่ชื่นชอบเป็นอย่างมาก
6. ดงบุริ (Donburi) ข้าวหน้าต่าง ๆ ของญี่ปุ่น เป็นอาหารจานด่วนที่มีหลากหลายหน้าด้วยกันทั้ง ข้าวหน้าหมูทอด, ข้าวหน้าไก่และไข่ เป็นต้น
7. ยากิโทริ (Yakitori) ไก่ย่างสไตล์ญี่ปุ่น โดยจะเสียบไก่และผักชิ้นเล็กบนไม้เสียบแล้วย่างด้วยซอสพิเศษ
8. โอโคโนมิยากิ (Okonomiyaki) พิซซ่าญี่ปุ่น ซึ่งเป็นอาหารในแถบคันไซและฮิโรชิม่า
สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น
พระราชวังอิมพีเรียล แต่เดิมมีชื่อว่า พระราชวังเอะโดะ อีกหนึ่งสถานท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ตั้งอยู่ที่เมืองโตเกียว เพราะเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เมจิ แห่งประเทศญี่ปุ่น เดิมที่นี่เป็นหมู่บ้านประมงเล็กที่ชื่อ เอะโดะ ที่ถูกตั้งเป็นฐานที่มั่น รวมทั้งถูกตั้งเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลทหาร ต่อมาได้ขยายเมืองให้ใหญ่ขึ้น จนมีประชากรและพื้นที่เมืองขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากนั้นเข้าสู่ยุคปฏิรูปเมจิ การล้มล้างการปกครองแบบโชกุนลง จักรพรรดิเมจิจึงย้ายเมืองหลวงมาที่เอะโดะ และเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นโตเกียวในปัจจุบัน ที่นี่จึงเป็นศูนย์กลางทางการปกครองและวัฒนธรรมของประเทศ และถูกเปลี่ยนให้เป็นพระราชวังในเวลาต่อมา มีชื่อเรียกว่า พระราชวังอิมพิเรียล ในปัจจุบัน
ซึ่งภายในล้อมรอบด้วยคูเมือง ประตูทางเข้าที่งดงาม และป้อมปราการเก่าแก่ตั้งอยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ ทางเข้าหลักอยู่ใกล้กับนิจูบะชิ สะพานสองชั้น และจะเปิดให้คนภายนอกเข้าชมตามวาระพิเศษต่าง ๆ สวนตะวันออกฮิงะชิ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของหอคอยใหญ่ ภายในสวนงดงามไปด้วยดอกไม้หลากหลายพันธุ์ และจะผลิบานตามแต่ฤดูกาล เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการสถานที่พักผ่อนในอุดมคติ
2. โตเกียว ทาวเวอร์
โตเกียว ทาวเวอร์ หอคอยสื่อสารขนาดใหญ่ที่สวยงามมาก ตั้งอยู่ในเขตมินะโตะ กรุงโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเพราะใน 1 ปี มีผู้ร่วมเข้าชมถึง 2 ล้าน 5 คน อีกทั้งยังเป็นเหมือนสัญลักษณ์เพื่อแสดงถึงอำนาจและอิทธิพลทางเศรษฐกิจของโลก เป็นที่ถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งที่นี่ได้แรงบันดาลใจมาจากหอคอยสูงในปารีส สร้างในสไตล์สถาปัตยกรรมโบราณแบบญี่ปุ่น ทั้งนี้ โตเกียว ทาวเวอร์ จะเปิดทำการตั้งแต่ 09.00-20.00 น. โดยไม่มีวันหยุด ใครที่มาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วไม่มาเยือนที่นี่ถือว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่นเลย
3.หมู่บ้านประวัติศาสตร์ชิราคาวาโกะ
ชิราคาวาโกะ (Shirakawako) หมู่บ้านท่ามกลางหุบเขา ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ในประเทศญี่ปุ่น เพราะเป็นหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น หลังคามุงด้วยฟางข้าว สร้างขึ้นด้วยมือที่เรียกว่า การสร้างบ้านแบบ กัตโชทสึคุริ (Gassho-zukuri) เป็นบ้านชาวนาโบราณที่มีอายุมากกว่า 250 ปี คำว่า "กัสโช" หมายความว่า พนมมือ ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงลักษณะรูปแบบของบ้านที่มีหลังคามุงด้วยฟางข้าวชันถึง 60 องศา คล้ายสองมือที่พนมเข้าหากัน มุงแบบลาดลงคล้ายหน้าจั่ว เพื่อให้ทนทานต่อหิมะและลมในฤดูหนาว ตัวบ้านมีความยาวประมาณ 18 เมตร และมีความกว้าง 10 เมตร สร้างขึ้นโดยไม่ใช้ตะปู ซึ่งบางแห่งสามารถเข้าพักค้างคืนได้ แถมยังเป็นกิจการที่เปิดภายในครัวเรือนที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เห็นการใช้ชีวิตแบบดั่งเดิมของชาวญี่ปุ่นอย่างแท้จริง
4. ภูเขาฟูจิ
ภูเขาฟูจิ เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นและอาจกล่าวได้ว่าเป็นภูเขาที่สวยที่สุดในโลก มีความสูงถึง 3,776 เมตร ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดยะมะนะชิและชิซุโอะกะ และสามารถมองเห็นได้จากโตเกียวและโยโกฮาม่าในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง วิธีที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิที่ง่ายที่สุด คือ นั่งชมจากรถไฟสายโทไกโดที่วิ่งระหว่างเมืองโตเกียวและโอซาก้า ถ้าคุณนั่งชินกันเซ็นจากโตเกียวที่มุ่งหน้าไปยังนาโงย่า เกียวโต และโอซาก้า ช่วงที่จะได้เห็นภูเขาฟูจิ คือ ช่วงสถานีชิน-ฟูจิ หรือประมาณ 40-45 นาที หลังจากออกจากโตเกียว ซึ่งจะมองเห็นได้ทางด้านขวามือของรถไฟ แต่สำหรับผู้ที่อยากชมภูเขาฟูจิอย่างเต็มอิ่ม และแวดล้อมด้วยธรรมชาติที่งดงามขอเชิญที่ ทะเลสาบทั้งห้า (Fuji Five Lake or Fujigoko) หรือที่ ฮะโกะเนะ ซึ่งเป็นรีสอร์ทบ่อน้ำพุร้อนและเป็นหนึ่งใน อุทยานแห่งชาติ Fuji-Hakone-Izu
นอกจากนี้ รอบ ๆ ภูเขาฟูจิเต็มไปด้วยธรรมชาติอันงดงาม และเป็น อุทยานแห่งชาติฟูจิฮะโกะเนะอิซุ มีทะเลสาบ 5 แห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โมโตสุโกะ โชจิโกะ ไซโกะ และมีออนเซนหลายแห่ง ได้แก่ ยะมะนะกะโกะ คะวะงุจิโกะ โอชิโนะโกะ ฯลฯ นับได้ว่า ภูเขาฟูจิ มีอิทธิพลต่อศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ มีชื่อภูเขาปรากฏอยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นหรือภาพพิมพ์ญี่ปุ่น และทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อบริษัท ชื่อสินค้า และอื่น ๆ อีกมากมาย ล้วนตั้งชื่อว่า ฟูจิ เรียกว่าภูเขาฟูจินี้เป็นหัวใจของญี่ปุ่นก็ว่าได้
5. ช้อปปิ้งย่านสุดฮิตที่ย่านชินจูกุ ฮาราจูกุ โอไดบะ
เมื่อมาเที่ยวที่ญี่ปุ่น อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ก็คือ การช้อปปิ้ง ซึ่งที่ญี่ปุ่นก็มีแหล่งช้อปที่หลายหลาย แต่ที่ไม่ควรพลาดเลย คือ ย่านชินจุกุ (Shinjuku) แหล่งท่องเที่ยวทันสมัยฝั่งตะวันตกของโตเกียว นับเป็นแหล่งช้อปปิ้งและสถานบันเทิงยามค่ำคืนยอดนิยมที่มีชื่อเสียง โดยยามกลางวันสามารถแวะชมสวนสาธารณะชินจุกุเกียวเอ็นที่เงียบสงบ, ย่านชิบุยะ (Shibuya) เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและวัฒนธรรมสมัยใหม่ของวัยรุ่น ใกล้กับ ศาลเจ้าเมจิ ที่เงียบสงบ ติดต่อกันเป็นแหล่งช้อปปิ้งยอดนิยมและสวรรค์ของคนรุ่นใหม่ คือ ย่านฮาราจูกุ และ ย่านโอไดบะ ที่สร้างขึ้นจากการถมทะเลในอ่าวโตเกียว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ เพราะที่นี่มีทั้งแหล่งบันเทิงขนาดใหญ่ ชิงช้าสวรรค์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่เป็นสัญลักษณ์ของเรนโบว์ ทาวน์ ที่เหล่าคู่รักวัยรุ่นนิยมขึ้นชิงช้าชมวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่สวยงาม
6. โอซาก้า
เมืองโอซาก้า (Osaka) เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของญี่ปุ่น และเป็นศูนย์รวมทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสำหรับญี่ปุ่นตะวันตก ตั้งอยู่ที่ปากแม่น้ำโยโดะ มีคลองที่เชื่อมโยงกันไปมาภายใต้ถนนหลายเส้น ซึ่งนั่นเป็นปัจจัยสำคัญที่นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่เมือง และในฐานะที่เป็นเมืองดั้งเดิมจึงมีความภาคภูมิใจที่ได้เป็นต้นแบบของ ละครหุ่นกระบอกบุนระคุ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังไม่ควรพลาดชม อ่าวโอซาก้า ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความทันสมัยที่สุด และสวนสนุก Universal Studios Japan
แต่ที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่ง คือ ปราสาทโอซาก้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น สร้างขึ้นในปี 1586 โดย โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ ปัจจุบันเป็นป้อมปราการสูงห้าชั้น จำลองแบบจากของเดิม เก็บรักษาศิลปวัตถุโบราณหลายชิ้น ทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องกับตระกูลโทโยโทมิและโอซาก้าในอดีต สำหรับแหล่งบันเทิงและย่านช้อปปิ้งที่จะต้องแวะ คือ ย่านอุเมะดะ และ ย่านนัมบะ ที่มีสถานีรถไฟและศูนย์การค้าใต้ดินที่ทันสมัยอยู่จำนวนมาก สำหรับนักจับจ่ายซื้อของและนักชิมอาหาร "คุอุดะโอะเระ" ถนนนักชิมที่มีชื่อเสียงสมคำเล่าลือ ที่ว่าโอซาก้าเป็นเมืองสำหรับนักชิมอย่างแท้จริง อาหารขึ้นชื่อของที่นี่ เช่น ยากินิกุ, ซูชิ และทาโกะยากิ
7. ปราสาทฮิเมะจิ
ปราสาทฮิเมะจิ (Himeji Castle) ตั้งอยู่เมืองฮิเมะจิ เป็นปราสาทที่สวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงรักษาไว้เป็นสมบัติของชาติ และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก พร้อมทั้งได้มีการปิดเพื่อทำการปฏิสังขรณ์เป็นเวลา 5 ปี ตั้งแต่ปี 2009-2014 แต่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมภายในและชมกระบวนการซ่อมแซมได้อย่างใกล้ชิด
ปราสาทฮิเมะจิ เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญเพราะเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ ที่เหลือสุดรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับการรับรองจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะยังคงความเป็นเอกลักษณ์ สถาปัตยกรรม และยุทโธปกรณ์ครบตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น ทั้งฐานหินสูง กำแพงสีขาว และอาคารต่าง ๆ ในบริเวณปราสาท ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานตามแบบของปราสาทญี่ปุ่น
อีกทั้งรอบ ๆ ปราสาทยังมีเครื่องป้องกันอีกมากมาย เช่น ช่องใส่ปืนใหญ่ รูสำหรับโยนหินออกนอกปราสาท และลักษณะที่เด่นชัดของปราสาทนี้ คือ ทางเดินสู่อาคารหลักซึ่งสลับซับซ้อนราวกับเขาวงกต ทั้งประตูและกำแพงในปราสาทได้รับการออกแบบมาอย่างดีเพื่อป้องกันศัตรูไม่ให้บุกรุกเข้าถึงได้โดยง่าย โดยทางเดินมีลักษณะเป็นวงก้นหอยรอบ ๆ อาคารหลัก และระหว่างทางก็จะพบทางตันอีกมากมาย และจนทุกวันนี้ปราสาทฮิเมะจิก็ยังไม่เคยถูกโจมตีเลย ระบบการป้องกันต่าง ๆ จึงยังไม่เคยถูกใช้งาน
8. วัดโทไดจิ
วัดโทไดจิ (Todaiji Temple) วัดพุทธที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดของเมืองนารา ได้ชื่อว่าเป็นสิ่งก่อสร้างด้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับศาลเจ้าและสถานที่สำคัญของเมืองนาราอีก 7 แห่ง ภายในวัดมี หอไดบุทสึ (Daibutsuden) หรือวิหารไม้ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไดบุทสึหล่อสำริดขนาดใหญ่ สูง 14.98 เมตร น้ำหนักราว 500 ตัน หล่อโดยช่างสมัยเท็มเปียว (729-764)
9. ฮอกไกโด
ฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ถือเป็นสวรรค์ของธรรมชาติ สามารถท่องเที่ยวได้ตลอดปี มีธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลาย ทั้งภูเขา ที่ราบสูง แม่น้ำ ทะเลสาบ บ่อน้ำพุร้อน และชายฝั่งทะเล มีอากาศหนาวเย็นในฤดูหนาว มีหิมะที่ขาวละเอียดดุจแป้งฝุ่นและสกีรีสอร์ท ที่ดึงดูดนักเล่นสกีจากทั่วโลก ขณะที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซากุระจะบานช้ากว่าภูมิภาคอื่นในญี่ปุ่น สามารถชมซากุระได้ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ส่วนฤดูร้อนอากาศจะไม่ร้อนเหมือนส่วนอื่น ๆ เพราะมีทุ่งดอกไม้ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และในฤดูใบไม้ร่วงใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนที่อื่น ๆ ในประเทศญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม
โดยมี เมืองซัปโปโร (Sapporo) เป็นเมืองหลวงของฮอกไกโด ซึ่งในซัปโปโรมี สวนสาธารณะโอโดริ ซึ่งเป็นที่จัดแสดงงานเทศกาลหิมะที่มีชื่อเสียง สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาชมงานในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี นอกจากนี้ ยังมีหอนาฬิกาอันเก่าแก่ และที่ว่าการเมืองฮอกไกโด อีกทั้งย่านร้านค้าซุซุกิโนะ ซึ่งเป็นศูนย์การค้า และแหล่งจับจ่ายซื้อของที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้
เมืองฮะโกะดะเตะ (Hakodate) เป็นเมืองท่าชายทะเลที่สำคัญ ที่ตั้งอยู่ทางใต้สุดของฮอกไกโด ในยามเช้าสามารถเที่ยวตลาดสดขายอาหารทะเลสด ๆ ที่มีให้ชิม ยามสายเที่ยวชมโบสถ์ และป้อมปราการโบราณในเมือง ยามเย็นนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปบนเขาฮะโกะดะเตะ ชมทิวทัศน์ยามราตรีที่สวยงามได้รอบทิศ ด้านเมืองอะซะฮิกะวะ (Asahikawa) ตั้งอยู่ใจกลางเกาะไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองซัปโปโร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งโดยรถไฟด่วนจากเมืองซัปโปโร และจากเมืองอะซะฮิกะวะไปทางตะวันออกจะมี อุทยานแห่งชาติไดเซะทสุซัง ซึ่งมี บ่อน้ำแร่โซอุนเกียว ให้เพลิดเพลินในฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
นอกจากนี้ ฮอกไกโดยังมีธรรมชาติอันสวยงามที่เป็นชายฝั่งทะเลใกล้ เมืองอะบะชิริ (Abashiri) มีธารน้ำแข็งให้ชมในฤดูหนาว และ คาบสมุทรชิเระโตะโกะ (Shiretoko) ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติด้วย อีกทั้งทะเลสาบอะคัง ทะเลสาบมาชูและ ทะเลสาบคุชิโระ และทางตะวันตกของฮอกไกโดมี เมืองโอะตะรุ (Otaru) เป็นเมืองท่าที่เคยเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองค้าขาย ในช่วงศตวรรษที่ 19-20 รอบ ๆ เมืองจะมีคลองโอะตะรุ เป็นโบราณสถาน แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองในสมัยบุกเบิก มีถนนร้านซูชิที่สดที่สุดในโลกให้ลองลิ้มชิมรส
10. ชมทุ่งดอกลาเวนเดอร์ ณ ฟุระโนะ
เมืองฟุระโนะ ตั้งอยู่ใจกลางฮอกไกโดพอดี เป็นที่รู้จักกันในนามทุ่งดอกไม้ที่มีภูเขาล้อมรอบไว้ ทำให้ที่นี่มีความแตกต่างของอากาศในช่วงฤดูหนาวกับฤดูร้อนราว 30 องศา และที่สำคัญที่นี่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาว ในหน้าร้อนจะมีสวนดอกไม้ที่สวยงาม โดยเฉพาะที่ ฟาร์มโทมิตะ ซึ่งมีการปลูกลาเวนเดอร์ที่ทั้งสวยงามและกว้างใหญ่ไพศาล รวมทั้งดอกไม้อื่น ๆ โดยที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมากในช่วงปลายเดือนมิถุนายนจนกระทั่งกลางเดือนกันยายน ส่วนในช่วงฤดูหนาวที่นี่จะปกคลุมไปด้วยหิมะหนามาก ทำให้กลายเป็นลานสกีที่มีชื่อเสียง และเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เพลิดเพลินกับลานสกีในช่วงกลางเดือนธันวาคมถึงกลางเดือนมีนาคมของทุกปี
วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Tokyo Street
Tokyo Street
เด็กแนวสไตล์ญี่ปุ่น
แฟชั่น Gal
1. มีความมั่นใจในความน่ารักของตัวเอง
2. แต่งตัวออกใสๆ น่ารักไว้ก่อน
3. พูดด้วยน้ำเสียงสูงหวาน
4. นุ่งมินิสเกิร์ต (แม้จะเป็นชุดนักเรียน) พร้อม Loose Sock เรียกได้ว่า ขายความใสล้วนๆ เลยก็ว่าได้
แฟชั่น Gankuro
สาวๆ จะนิยมทาหน้าทาตัวให้ดำ และย้อมผมสีทอง ใส่ไมโครสเกิร์ตและรองเท้าบูต ซึ่งเราจะเรียกว่า แฟชั่น Gankuro-หน้าดำ ซึ่งนับว่า เป็นแฟชั่นที่หลุดโลกมากทีเดียว
แฟชั่น Manba
สไตล์ Manba นั้น ดูเผินๆ จะคล้ายกับกังคุโระมากทีเดียว เพราะจะทาผวิและหน้าสีดำเหมือนกัน แต่จะต่างกันตรงที่ Manba นั้นมักย้อมผมสีขาว (หรือไม่ย้อมผม) แต่งขอบตา ขอบปากให้เป็นสีขาวมากๆ และจะไม่แต่งตัวเน้นความเท่ แต่จะเน้นความน่ารักแทน นิยามสีชมพู และมักมี Accessory น่ารักติดตัวเสมอ มักพูดลงท้ายด้วยคำว่า nyan (คล้ายเสียงแมวร้อง) ซึ่งถ้าเป็นกลุ่มผู้ชาย เราจะเรียกว่า Center Guy ซึ่งจะเน้นความน่ารักไม่แพ้กัน
วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556
เปียโน เป็นเครื่องดนตรีขนาดใหญ่ที่สร้างเสียงเมื่อคีย์ถูกกดและกลไกภายในเครื่องตีสาย คำว่าเปียโนเป็นตัวย่อของคำว่า ปีอาโนฟอเต(pianoforte)-ออกเสียงว่า (ปี-อ๊า-โน่-ฟอ-เต้) ซึ่งเป็นคำภาษาอิตาเลียนที่แปลว่า "เบาดัง" มาจากความสามารถของเปียโนที่จะปรับความดังเบาตามแรงที่กดคีย์
ในฐานะเครื่องสาย เปียโนมีความคล้ายคลึงกับคลาวิคอร์ด (clavichord) และฮาร์ปซิคอร์ด (harpsichord) จะแตกต่างกันเพียงวิธีการสร้างเสียง สายฮาร์พซิคอร์ดจะถูกดีดหรือเกาโดยขนนก ส่วนสายของคลาวิคอร์ดจะถูกเคาะด้วยกลไกที่จะยังคงสัมผัสกับสายอยู่ตลอดเวลาหลังการเคาะ เพื่อบังคับความถี่ของการสั่น ส่วนสายเปียโนถูกเคาะด้วยลิ่มที่สะท้อนกลับในทันที เพื่อให้เกิดการสั่นของสายอย่างเป็นอิสระ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)




























